- Pranodnard Viboonsang
- 4 ธ.ค. 2567
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 28 พ.ย.
จัดการความเสี่ยง — วิธีป้องกัน และแนวทาง ในการจัดซื้องานก่อสร้าง ที่จัดซื้อทุกคนควรรู้
ในงานก่อสร้างทุกโครงการ การจัดซื้อ (Procurement / Purchasing) เป็นหนึ่งในกระบวนการที่ส่งผลต่อ ต้นทุน คุณภาพ และความต่อเนื่องในการผลิตโดยตรง หากบริหารผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจเกิดความเสียหายตั้งแต่ สินค้าคุณภาพไม่ตรงสเปก การส่งมอบล่าช้า ไปจนถึงต้นทุนที่บานปลายอย่างควบคุมไม่ได้ บทความนี้จะแนะนำ วิธีการจัดการความเสี่ยงที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจในทุกการสั่งซื้อ
ความเสี่ยงที่พบบ่อยในงานจัดซื้อ
ความเสี่ยงด้านผู้ขาย (Supplier Risk)
ผู้ขายไม่ส่งของตามกำหนด
คุณภาพสินค้าไม่สม่ำเสมอ
ความเสี่ยงด้านราคา (Price Volatility)
ราคาวัตถุดิบผันผวน
ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินค้า (Quality Risk)
สินค้าสเปกไม่ตรง
QC ไม่ผ่าน ต้องส่งคืน ทำให้เสียเวลาและต้นทุน
ความเสี่ยงด้านกระบวนการภายในองค์กร
ขั้นตอนอนุมัติไม่ชัดเจน
ไม่มีคนตรวจสอบ
ไม่มีเอกสารอ้างอิงหรือ PO ที่ชัดเจน
ความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์/การส่งมอบ (Delivery Risk)
ขนส่งล่าช้า
ผู้ขายไม่สามารถผลิตได้ทันตามแผน
ปัญหาซัพพลายเชนระหว่างประเทศ

1. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์
ความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คุณสามารถตรวจสอบได้ดังนี้ :
• ศึกษาประวัติการทำงานของซัพพลายเออร์ : ดูประวัติการส่งมอบสินค้า รีวิวจากลูกค้า หรือโครงการที่ผ่านมา
• ขอเอกสารการรับรองมาตรฐาน: มาตรฐานการผลิต มาตรฐานมอก. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของโครงการด้วย
• เยี่ยมชมโรงงาน : เพื่อประเมินกระบวนการผลิตและดูว่าสามารถรองรับปริมาณการสั่งซื้อของคุณได้หรือไม่
จัดซื้อสามารถใช้เกณฑ์นี้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์ :
• คะแนนการส่งมอบตรงเวลา : ซัพพลายเออร์ควรมีอัตราการส่งมอบตรงเวลาไม่น้อยกว่า 95%
• ความสม่ำเสมอของคุณภาพสินค้า : ตรวจสอบตัวอย่างสินค้าก่อนสั่งซื้อในปริมาณมาก
• รีวิวจากโครงการก่อสร้างก่อนหน้า : ขอข้อมูลจากลูกค้าเก่าเกี่ยวกับการส่งมอบและบริการหลังการขาย

2. จัดทำเอกสารที่ชัดเจนและครอบคลุม
การสื่อสารและการระบุรายละเอียดในเอกสารมีความสำคัญต่อการ ป้องกันความเข้าใจผิด ระหว่างคุณและซัพพลายเออร์
• ระบุ ปริมาณสินค้า วันส่งมอบ สถานที่ส่งสินค้า และสเปคที่ต้องการในเอกสาร
3. ใช้กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
แทนที่จะพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงรายเดียว ควรมีซัพพลายเออร์สำรองเพื่อกระจายความเสี่ยงในกรณีที่ซัพพลายเออร์หลักไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด วิธีนี้ช่วยให้โครงการของคุณดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
"ใช้ตัวชี้วัด (KPIs) เพื่อประเมินความเสี่ยง" เพิ่มความชัดเจนในการจัดการความเสี่ยงด้วยตัวชี้วัด เช่น :
• Lead Time: ระยะเวลาตั้งแต่สั่งซื้อจนถึงส่งมอบ
• Defect Rate: อัตราส่วนของสินค้าที่มีปัญหาต่อสินค้าทั้งหมด
• Supply Chain Disruption Plan: ซัพพลายเออร์มีแผนรองรับกรณีฉุกเฉินหรือไม่

4. ติดตามสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์
การมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับซัพพลายเออร์ช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มความมั่นใจในกระบวนการจัดซื้อ และเพื่อทราบสถานะของสินค้าในทุกขั้นตอน เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
5. วางแผนล่วงหน้าเพื่อรองรับสถานการณ์ไม่คาดคิด
ความล่าช้าของสินค้าอาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางกรณี ดังนั้นจึงควร วางแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับแผนการก่อสร้าง รวมถึงเตรียมสต็อกสินค้าสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
วิธีจัดการสินค้าล่าช้า หากเกิดปัญหาสินค้าล่าช้า ควรดำเนินการดังนี้ :
• ติดต่อซัพพลายเออร์ทันที : แจ้งปัญหาและขอ Timeline การส่งมอบที่ชัดเจน
• จัดหาซัพพลายเออร์สำรอง : เตรียมผู้ขายรายอื่นที่สามารถส่งสินค้าในกรณีฉุกเฉิน

6. ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ที่มีประสบการณ์และเป็นมืออาชีพ
การเลือกซัพพลายเออร์ที่มีประสบการณ์ในด้านการผลิตและจัดส่งคอนกรีตสำเร็จรูป จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก ซัพพลายเออร์ที่มีประสบการณ์มักจะมีระบบการทำงานที่ได้มาตรฐาน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม
FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงในการจัดซื้อ
Q: ความเสี่ยงอะไรที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในการจัดซื้อ?
โดยทั่วไปความเสี่ยงที่พบมากคือ
ผู้ขายส่งของล่าช้า
ราคาวัตถุดิบผันผวน
คุณภาพสินค้าไม่สม่ำเสมอ
ขาดข้อมูลตรวจสอบผู้ขาย
Q: ต้องมีผู้ขายสำรอง (Alternative Supplier) ทุกสินค้าหรือไม่?
ไม่จำเป็นทุกสินค้า แต่ควรมีสำหรับรายการที่
มีความสำคัญต่อไลน์ผลิต
มีโอกาสขาดตลาดสูง
มีผู้ขายเจ้าเดียวในตลาด
มีประวัติส่งมอบไม่เสถียร
Q: แล้วองค์กรควรทบทวนความเสี่ยงบ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปควรทบทวน
รายไตรมาส (Quarterly) สำหรับสินค้าและผู้ขายสำคัญ
รายปี (Yearly) สำหรับสินค้าที่ความเสี่ยงต่ำ


